สตราสบูร์กเป็นเมืองมหาวิทยาลัย จึงเป็นเมืองที่มีจักรยานมากที่สุดเมืองหนึ่ง เฉพาะในเขตตัวเมืองก็น่าจะเฉียด ๆ แสนคัน ช่วงปีแรกเราไม่มีจักรยาน เวลาจะไปขี่จักรยานเที่ยว ก็จะขอหยิบยืมจากชาวบ้าน แต่ปีที่สอง มีรุ่นพี่จบปริญญาเอกแล้วกลับเมืองไทย ก็เลยทิ้งจักรยานเป็นมรดกไว้ให้เราขี่ไปไหนมาไหนได้อย่างสบายใจ จักรยานคันของเราสีออกฟ้า ๆ ซี่วงล้อกับที่ซ้อนท้ายเป็นสีดำ มีโซ่กันขโมยเส้นมหึมาอยู่สองเส้น โซ่สองเส้นนี้ราคารวมกันคิดเป็นเกือบหนึ่งในสามของราคาจักรยานที่ขายกันอยู่ตามร้าน ที่ต้องป้องกันแน่นหนา
ขนาดนี้ ก็เพราะสตราสบูร์กมีอัตราจักรยานหายปีหนึ่งหลายหมื่นคัน เพื่อนเราบอกว่า บางวันขโมยมันเอารถบรรทุกกับคีมอุตสาหกรรมมาตัดโซ่คล้องจักรยานแล้วยกขึ้นรถหายเป็นแถบ ๆ แล้วโซ่อันเดียวก็ไม่พอ เพราะบางทีล็อกล้อหน้าไว้กับราวจอดจักรยาน ขโมยมันก็ถอดเอาแต่ล้อหลังไป บางทีล็อกไม่ดี มันก็ถอดเอาล้อหลังกับโครงรถไป เหลือแต่ล้อหน้าไว้ให้ดูเป็นที่ระลึก เพื่อนเราคนหนึ่งเอารถไปจอดหน้ามหาวิทยาลัยแล้วกลับมาเอาตอนค่ำ ปรากฏว่าขโมยมันถอดเอาอานรถออกไป เหลือแต่ท่อเหล็กโด่ ๆ เพื่อนคนอื่นยังแซวว่า เอ็งน่าจะลองขี่กลับมา เผื่อสร้างรสชาติใหม่ให้ชีวิต
เรา เฟรดเดริก กับเพื่อนสเปนอีกคนชื่อ คาบี้ (Jabi) ออกไปขี่จักรยานเที่ยวกับสาว ๆ ฝรั่งเศสบ่อย ๆ ในช่วงวันหยุดฤดูร้อน วันหนึ่งพวกเรานัดไปเจอกันที่สระว่ายน้ำข้างรัฐสภายุโรป ในกลุ่มผู้หญิงมีสาวฝรั่งเศสอยู่คนหนึ่งชื่อ อานน์ เธอออกจะห้าว ๆ แบบผู้ชาย ตัดเราเกรียนอย่างกับจีไอเจนไม่มีผิด พอพวกเรามาถึงสระน้ำ เห็นคนมหาศาลอยู่ในสระ ก็เลยเปลี่ยนใจไม่ว่ายน้ำ แต่จะไปนั่งอาบแดดกัน พอหาที่เหมาะ ๆ เจอ ก็นั่งบ้างนอนบ้างกันตามอัธยาศัย
อากาศดีจัง อานน์พูด แล้วก็ถอดเสื้อเชิ้ตออก เรานึกว่าเธอจะหยุดแค่นั้น ที่ไหนได้เธอถลกเสื้อยืดขึ้นแล้วถอดออกพรืด เฮ้ย เธอไม่ได้ใส่เสื้อชั้นใน เราเห็นมิลค์เชคเด้งดึ๋ง ๆ เต็มลูกกะตา ในเสี้ยววินาทีนั้น สติเบื้องลึกผุดขึ้นมาสั่งให้นิ่งไว้ เดี๋ยวเสียเชิงหมด เราก็เลยยิ้ม แล้วพูดว่า อากาศดีจริง ๆ ด้วย โอย นี่ถ้าแขวนของขลังอยู่คงเสื่อมฉิบหายวายวอด
หลังจากนั้นอีกไม่กี่อาทิตย์ อานน์ก็ชวนพวกเราไปเที่ยวบ้าน เฟรด คาบี้และเราจึงนัดเจอที่กลางเมืองเพื่อที่จะขี่จักรยานไปด้วยกัน อานน์เช่าบ้านอยู่ แต่ถึงแม้จะเป็นบ้านเช่า เธอก็แต่งได้เก๋ไม่หยอก เธอเอารูปสวย ๆ ที่ตัดจากนิตยสารมาใส่กรอบแล้วแขวน ดูยังไงก็ไม่เหมือนกับรูปที่ตัดมาจากนิตยสาร เพราะเธอจัดวางได้เหมาะเจาะสวยงามจริง ๆ เราลืมไปแล้วว่าเธอเรียนอะไรอยู่ แต่ที่แน่ ๆ เธอน่าจะเอาดีได้ทางศิลปะ ขณะที่กำลังคุยกันเพลิน ๆ เธอก็หยิบห่อกระดาษส่งให้เรา เธอบอกว่าซื้อมาฝากจากเบอร์ลิน เรารับมาไว้อย่างงง ๆ พร้อมกับกล่าวขอบคุณอย่างไม่ค่อยเข้าใจนักว่าเธอให้ของเราเนื่องในโอกาสอะไร
ตอนไปเที่ยวเบอร์ลิน นึกถึงเธอก็เลยซื้อมาฝาก เธอว่าอย่างนั้น
เราแกะออกดู ข้างในเป็นที่ทับกระดาษรูปหกเหลี่ยมทำจากเรซินใส ตรงกลางมีเศษปูนอยู่ และมีคำอธิบายว่า อดีตกำแพงเบอร์ลิน (เราชอบมันมากถึงขนาดขนกลับมาตั้งโชว์ในบ้านที่เมืองไทยด้วย เพราะนี่คือประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของโลกเลยทีเดียว) พวกเราอยู่คุยกันจนดึก จึงค่อยลาเธอกลับหอพัก เราสามคนขี่จักรยานไล่ ๆ กันมาตามเส้นทางที่จัดไว้ให้จักรยานโดยเฉพาะ คาบี้ขี่นำหน้า เราอยู่ตรงกลาง เฟรดตามหลัง ช่วงลงเนินก่อนเข้าตัวเมือง มีทางโค้ง ทำให้คาบี้ต้องชะลอรถกะทันหัน เราก็เลยต้องเบรกตัวโก่ง แต่รถจักรยานเก่า เบรกก็เก่า เราก็เลยเบรกไม่อยู่ ชนท้ายจักรยานคาบี้ จักรยานเราพุ่งออกนอกถนนแล้วล้มโครม เราตีลังกาสองตลบก่อนที่จะลุกขึ้นมานั่ง คาบี้ทิ้งรถตัวเองคว่ำกลางถนน แล้ววิ่งเข้ามาหาพร้อมร้องขอโทษอย่างคนเสียสติ เฟรดที่ตามมาข้างหลังแล้วเห็นเหตุการณ์เต็ม ๆ จอดรถแล้ววิ่งตามมาหน้าตาตื่น น่าแปลกที่เราไม่เป็นอะไรเลย คงเพราะจังหวะดีเลยม้วนตัวตีลังกาไปตามแรง แล้วข้างหลังมีเป้สะพายอยู่ ก็เลยช่วยรับแรงกระแทกได้ ส่วนรองเท้าที่ใส่ไปวันนั้นก็เป็นรองเท้าเดินป่าหุ้มข้ออย่างหนา ก็เลยช่วยป้องกันข้อเท้าได้เป็นอย่างดี หลังจากสำรวจทั่วตัวแล้ว ก็มีแต่รอยขีดข่วนกับรอยเปื้อนฝุ่นเท่านั้นเอง เราเดินไปยกรถจักรยานขึ้นมา ปรากฏว่าล้อหน้าบิดไปหน่อย จับดัดทีสองทีก็เข้าที่
ไม่เป็นอะไรจริง ๆ เหรอ เฟรดถามด้วยสีหน้าจริงจัง
จริงสิ เรายืนยัน
เรากลัวแทบตาย แต่ท่าตีลังกานายสวยจริง ๆ เฟรดยังอุตส่าห์แซวส่งท้าย
ไม่กี่วันหลังจากนั้น เราก็เอาจักรยานคันเดิมนี้เองขี่ไปสถาบัน พอถึงสี่แยกไฟแดง ก็บีบคันเบรกเต็มที่ สายเบรกหลังถึงกับขาดผึงสะบัดออกมา เรารีบกดเบรกหน้าเต็มกำลัง รถถึงหยุด แต่มันก็พุ่งออกไปเกือบถึงกลางสี่แยก โชคดีที่เป็นสี่แยกเล็ก ๆ ก็เลยไม่ค่อยมีรถวิ่งตัดมา เย็นวันนั้นเรารีบซื้อสายเบรกมาเปลี่ยนใหม่ทั้งหมด เพราะอยากกลับเมืองไทยขณะที่ยังมีชีวิตอยู่เหมือนกัน