ประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศที่สนับสนุนเยาวชนให้ออกกำลังกายมาก ตามมหาวิทยาลัยจะมีสโมสรกีฬาต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นปีนเขา วินด์เซิร์ฟ เต้นรำ และสกี เป็นต้น โดยแต่ละปีจะเปิดให้นักศึกษาเข้าไปลงทะเบียน ซึ่งจะมีคนสนใจมากมายมหาศาล ถึงขนาดต้องจองล่วงหน้าเป็นเทอมก็มี
บางทีหอพักนักศึกษาก็จัดกิจกรรมกีฬาขึ้นมา เช่น แข่งขันปิงปอง หรือแข่งบาสฯ ซึ่งจะมีคนร่วมมากมาย ไม่โหรงเหรงเหมือนในมหาวิทยาลัยบ้านเราที่บางทีอาจารย์ต้องใช้คะแนนมาบังคับให้นักศึกษาเล่นกีฬา มีอยู่หนหนึ่ง ทางหอพักจัดไปเล่นสเก็ตน้ำแข็ง เราก็เลยถือโอกาสชวนเพื่อน ๆ ทั้งในและนอกหอไปลองเล่นกันมากมาย เมื่อไปถึงลานสเก็ตก็ลงมือเลือกรองเท้ากันสนุกสนาน เพราะต้องได้รองเท้าที่พอดีจริง ๆ ไม่เช่นนั้นจะรู้สึกเจ็บอุ้งเท้ามากเวลายืนอยู่บนใบมีด ความรู้สึกยังคงชัดเจนเมื่อย่างก้าวแรกบนลานสเก็ต เรานึกในใจว่างานนี้คงต้องเจ็บตัวแน่ พอก้าวลงไปครบสองขา มันไหลไปเองเหมือนผีผลัก จะหาหลักจับตรงไหนก็ไม่มี ได้ยินเพื่อนตะโกนบอกให้เดินเหมือนเป็ด ยังไม่ทันขาดคำของเพื่อน เราก็บรรจงไสยาสน์ไปกับพื้นเรียบร้อยแล้ว กว่าจะลุกขึ้นมาได้ก็ขาวโพลนไปทั้งตัว เวลาเล่นสเก็ตแล้วล้มต้องเก็บไม้เก็บมือไว้ให้ดี เพราะถึงแม้ใบมีดใต้รองเท้ามันจะไม่บางเหมือนมีดจริงๆ แต่ถ้ามันทับไปบนนิ้วมือด้วยความเร็วสูง มันก็สามารถตัดนิ้วป้อม ๆ ทั้งห้ากระจุยได้สบาย ดังนั้นเขาจึงบังคับให้ผู้ที่มาเล่นสเก็ตทุกคนใส่ถุงมือ เผื่ออย่างน้อยเมื่อเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ก็จะช่วยผ่อนหนักเป็นเบาได้ ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าลานสเก็ตเมืองไทยเขาบังคับกันหรือเปล่า ยังไม่เคยแวะเข้าไปดู กลัวเด็ก ๆ แซวว่าลุงมาทำอะไรที่นี่
เราตะเกียกตะกายทรงตัวอยู่พักหนึ่งจึงเริ่มชิน เริ่มไถเสก็ตไปข้างหน้าได้เร็วขึ้นตามจังหวะเสียงเพลงเร้าใจที่เปิดดังลั่นในลานเสก็ต เราได้ยินเสียงเพื่อนตะโกน เฮ้ย โทนี่เล่นได้แล้ว แต่จู่ก็มีเสียงประกาศ ทุกคนกลับหลังหัน ทุกคนก็พร้อมใจกันหันกลับแล้วไถเสก็ตย้อนขึ้นไป ยกเว้นเราคนเดียวที่หยุดไม่ได้ กลับหลังหันก็ไม่เป็น เรายังไถลไปข้างหน้าสวนทางกับคนอื่น ๆ เพื่อน ๆ เห็นว่าเราอยู่ในสถานการณ์วิกฤติก็เลยเข้ามาคว้าเอาไว้แล้วลากไปด้วยกัน ทันใดนั้นเราก็ลื่นพรืด แล้วก็ดึงเพื่อนล้มทั้งแผง จังหวะเดียวกันเราก็ได้ยินเสียง โครม ดังลั่นมาจากทางด้านหนึ่งของลานเสก็ต ปรากฏว่า มีเด็กหอคนหนึ่งเสียจังหวะพุ่งชนกำแพงล้มกลิ้งไม่เป็นท่า แล้วคงชนแรงมากเพราะลุกไม่ขึ้น เพื่อน ๆ ต้องตามไปอุ้มขึ้นมา พอเห็นแบบนี้เราก็เลยถอดใจ จึงถอดรองเท้าแล้วออกไปรอเพื่อนข้างนอก ประมาณ 3 ทุ่มเราจึงยกขโยงกันกลับหอพักพร้อมกับความระบมไปทั้งตัว
เราต้องขอบอกว่า วัยรุ่นฝรั่งเศสโหยหาธรรมชาติจริงๆ ช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ยาวๆ มักจะมาชวนเราไปเดินเล่นในป่าเสมอ เราก็ชอบเพราะเห็นเป็นโอกาสดีที่จะได้ไปสูดอากาศบริสุทธิ์ แต่หลัง ๆ ชักลังเล เพราะเอาจริงเข้าแล้ว ไอ้พวกนี้ไม่ได้ไปเดินเล่น ๆ แต่มันเดินกันจริง ๆ เดินกันครั้งหนึ่งไม่ต่ำกว่าสิบกิโลฯ ที่พวกเขาไปเที่ยวเดินเล่นในป่ากันได้บ่อย ๆ ก็เพราะว่า ป่าบ้านเขามันไม่อันตรายเหมือนบ้านเรา สิงห์สาราสัตว์ก็เหลือน้อย ที่มีอยู่ก็เป็นจำพวก นก หนู หมู กระต่าย สัตว์จำพวกงูก็มีอยู่บ้าง แต่ไม่ค่อยมีงูมีพิษ พวกคนฝรั่งเศสก็เลยรู้สึกว่าการเดินขึ้นเขาบุกเข้าป่าเป็นเรื่องค่อนข้างจะธรรมดา มาเดินรุ่มร่ามอย่างนี้ในป่าเมืองไทยละก็ พังอีแป้นคงกระทืบไส้แตก

ช่วงหน้าร้อนปีที่สอง ปาสกาลกับเฟรดเดริกมาชวนไปขี่จักรยานเล่นไปตามถนนแห่งไวน์ ธรรมชาติสองข้างทางนั้นสวยงามมาก เพราะเป็นเนินเขาเขียวขจีเตี้ยบ้างสูงบ้างสลับกันไป เวลาเจอเนินสูงมาก ๆ ก็ต้องออกแรงปั่นมากหน่อย พอถึงยอดเนินก็ปล่อยรถให้พุ่งลงมาให้ลมแรง ๆ ตีหน้าจนน้ำตาไหล พอเริ่มหิวก็แวะพักเก็บผลไม้ข้างทางกินกัน มีทั้งแอปเปิ้ลที่เขาเอาไว้เลี้ยงม้า ลูกพลับรสหวานอมเปรี้ยว รวมทั้งราสเบอรี่ป่ารสหวานอร่อย พอดื่มน้ำหมดก็ไปขอเติมน้ำตามบ้านชาวนา มีชาวนาคนหนึ่งใจดีมาก พอพวกเราขอเติมน้ำ ก็เปิดก๊อกทิ้งไว้แล้วบอกว่า รอให้น้ำเย็นจัด ๆ มาถึงก่อนแล้วค่อยกรอกลงกระติกน้ำ จากนั้นยังพาพวกเราขึ้นไปดูบ้านของตัวเองที่สร้างในสมัยศตวรรษที่ 18 และมีหลังคาสูงถึง 6 เมตร เจ้าของบ้านบอกว่าที่นี่เคยเป็นยุ้งฉางมาก่อน ถึงแม้ว่าบ้านจะถูกสร้างเมื่อเกือบ ๆ สามร้อยปีมาแล้ว แต่สภาพยังดีเพราะได้รับการดูแลรักษาเป็นอย่างดี
พอเยี่ยมชมบ้านเสร็จ ก็ขี่จักรยานลัดเลาะไปตามหมู่บ้านเล็ก ๆ แวะดูโบสถ์ประจำหมู่บ้านต่าง ๆ พอคล้อยบ่ายก็หาทางกลับบ้านกันเพราะกลัวจะมืด แต่อีกเหตุผลหนึ่งก็คือ ทั้งสองเห็นเราเริ่มหอบเหนื่อย กว่าเราจะลากสังขารกลับถึงหอพักก็มืดพอดี รวมระยะทางไปกลับกว่า 70 กิโลเมตร ก้นระบมไปหมด หลังจากอาบน้ำอาบท่าเสร็จก็ยังอุตส่าห์แข็งใจแต่งหล่อออกไปงานวันเกิดเพื่อนที่สถาบันกันอีกครบทั้งสามคน เปิดเพลงเต้นกันเกือบถึงเที่ยงคืน วันรุ่งขึ้นแทนที่จะปวดแค่ก้นก็เลยปวดระบมไปทั้งตัว
สถาบันที่เราเรียนอยู่ก็เคยจัดไปพายเรือแคนูกันครั้งหนึ่ง ถึงจะเป็นลูกแม่น้ำบางปะกง แต่เรื่องพายเรือ นี่พูดตรง ๆ ว่าไม่สัดทัดเอาเสียเลย เราถูกเพื่อนที่สถาบันลากไปจนได้ พอถึงท่าเรือก็จับคู่ได้อาเหม็ดหนุ่มเจ้าของเคราเฟิ้มจากประเทศเยเมนมาร่วมเรือลำเดียวกัน หลังจากซักซ้อมความเข้าใจขั้นพื้นฐานก็ทยอยกันลงเรือ พายอยู่พักหนึ่งก็รู้สึกว่าถูกทอดทิ้ง ใคร ๆ เขาพายกันฉิว ๆ แต่เรือเราสองเป๋ไปซ้ายทีขวาที แค่คอยบังคับเรือให้ตรงทางอย่างเดียวก็ไม่ต้องไปไหนแล้ว พยายามเท่าไรก็ไม่เป็นผล เรือมันจะหมุนกลับท่าเดียว สุดท้ายแก้ไขด้วยการเอาเรือของเราไปผูกติดไว้กับเรือคนที่พายเก่ง ๆ ก็เลยค่อยยังชั่ว ที่ต้องทำอย่างนี้ไม่ใช่เพราะกลัวเราจะตกน้ำตกท่าหรอก เพราะต่างคนต่างก็มีเสื้อชูชีพ แต่เขากลัวเราจะไปชนเรือของนักท่องเที่ยวคนอื่นล่มต่างหาก คนไทยกับเยเมนพายเรือจูง อายเขาไหมล่ะ