รียูเนียนและมอริเชียส
ขุนเขา มหาสมุทรและขอบฟ้า ที่ 23.5 องศาใต้
บ่อยครั้งไปที่การทำงานพาเราไปสู่ดินแดนใหม่ ๆ วัฒนธรรม ความคิด การกินอยู่ที่แปลกและแตกต่างจากสิ่งที่เราคุ้นเคย เหมือนกับครั้งนี้ ที่ภาระหน้าที่ทำให้ต้องเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าขึ้นเครื่องบินมายัง ลา เรอูนิยง (La REUNION) ที่คนไทยรู้จักกันในชื่อรียูเนียน แถมยังได้ข้ามไปเกาะมอริเชียสเป็นโบนัสอีกด้วย


รียูเนียนมีสภาพเป็นเกาะกลางมหาสมุทรอินเดีย ระหว่างเกาะมอริเชียสและเกาะมาดากัสการ์ มีสถานะเป็นจังหวัดโพ้นทะเลของประเทศฝรั่งเศส มีเมืองเอกชื่อ แซ็งต์ เดอนีส์ (SAINT DENIS) รียูเนียนเป็นเกาะที่เกิดจากภูเขาไฟเมื่อประมาณ 3 ล้านปีที่แล้ว พื้นที่ส่วนใหญ่จึงเป็นภูเขาสูง มีพื้นที่ชายหาดบ้างเล็กน้อยบริเวณริมเกาะ และมีประชากรอาศัยอยู่ประมาณ 800000 คน แบ่งเป็นคน เครออล หรือคนที่มีบรรพบุรุษเป็นยุโรป แต่เกิดและเติบโตที่นี่ คนผิวสีจากแอฟริกา คนอินเดีย คนยุโรปที่ย้ายมาตั้งถิ่นฐานที่นี่ เป็นต้น คนที่นี่พูดภาษาฝรั่งเศสและภาษาเครออลเป็นหลัก ซึ่งการออกเสียงจะคล้ายกับภาษาฝรั่งเศสมากบ้างน้อยบ้าง
เราเดินทางมาถึงเกาะรียูเนียนตอนกลางคืนและเข้าพักที่โรงแรมแบลพิแยร์ (BELLE PIERRE) ห้องของโรงแรมทุกห้องหันหน้าออกทะเล ทำให้เราได้เห็นพระอาทิตย์ยามเช้าโผล่พ้นขอบฟ้ามหาสมุทรอินเดียที่กว้างใหญ่จนเห็นแนวโค้งของขอบโลก อาหารเช้าในโรงแรมเป็นแบบตะวันตกเป็นหลัก แต่ก็ยังมีข้าวผัด ไส้กรอก ผลไม้สดและแห้งมากมายไว้ให้เรากินกันเบื่อ หรือถ้าใครชอบกินซีเรียลเป็นอาหารเช้า ก็มีทั้งเม็ดแมคคาเดเมีย พรุนแห้ง ลูกเกด และถั่วอื่น ๆ ไว้สำหรับผสมกินกับคอร์นเฟลก ถ้าใครชอบหวานนิดก็เติมน้ำผึ้ง หรือจะใส่แยมกล้วยก็ได้รสชาติหอมหวานไม่แพ้กัน

หลังจากก้มหน้าก้มตาทำงานจนเสร็จ ทางเจ้าบ้านก็จัดทริปให้พวกเราได้ออกไปสัมผัสเกาะรียูเนียนจริง ๆ วันรุ่งขึ้นเราจึงได้มีโอกาสเดินทางขึ้นเขาไปยังหมู่บ้านซิลาโอส (Cilaos) ที่ความสูง 1200 เมตร พร้อมกับเพื่อนชาวเครออลที่ชื่อฟรองซวส แต่กว่าจะฝ่าด่านโค้งหักศอกเกือบ 500 โค้งมาได้ เพื่อนร่วมงานบางคนก็เอาข้าวเช้ามาทิ้งเสียหลายรอบ ระหว่างทางมาซิลาโอส รถจะต้องขับผ่านหมู่บ้านเล็ก ๆ ริมหาด เราจึงมีโอกาสลงไปดูท่าเรือที่มีเรือสำราญลำเล็กลำน้อยจอดอยู่มากมาย น่าเสียดายที่เราไม่มีเวลาพอที่จะไปพายเรือแคนูเล่นกับปลาโลมา เมื่อขับรถเลียบทะเลมาได้ครึ่งทาง คุณลุงคนขับรถวัยเกษียณก็หยุดรถให้เราได้ลงไปดู le souffleur หรือ จอมพ่นน้ำ ที่เกิดจากหินที่เป็นรูขนาดใหญ่ ด้านหนึ่งจมอยู่ในน้ำอีกด้านหนึ่งโผล่พ้นน้ำออกมา เมื่อคลื่นซัดเข้ามาก็จะดันน้ำให้พุ่งออกมาเป็นฝอย ยิ่งคลื่นแรงเท่าไหร่ ละอองน้ำก็จะพุ่งออกมาสูงเท่านั้น วันที่เราไปอากาศกำลังดี มีแสงแดดจัด เราจึงได้เห็นละอองน้ำทอรุ้งตัวน้อย ๆ ให้ดูหลายรอบ
หลังจากถ่ายรูปกันพอใจ เราก็ออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังซิลาโอส คนที่จะขับรถขึ้นไปนั้น ต้องเป็นมืออาชีพจริง ๆ เพราะเส้นทางมีขนาดเล็กพอให้รถสวนกัน และมีโค้งหักศอกตลอดทาง คุณลุงคนขับรถเองก็ยังต้องหยุดพักเหนื่อยหลายหนตามหมู่บ้านริมเขา เราก็เลยได้ถ่ายรูปและซื้อของกินเล่นกันพอหอมปากหอมคอ แต่ก็ไม่กล้ากินมากนัก เพราะกลัวเมารถและจะต้องเอาไปทิ้งข้างหน้าให้เสียของ


ระหว่างที่อยู่ในรถ ก็ฟังคุณลุงเล่าเรื่องเกี่ยวกับเกาะรียูเนียนให้ฟัง คุณลุงบอกว่าที่เกาะนี้ ถึงแม้จะมีคนหลากหลายเชื้อชาติศาสนาอยู่ด้วยกัน แต่ก็ไม่มีการเหยียดผิว ทุกคนเท่าเทียมกัน อยู่ด้วยกันอย่างสันติสุข ไม่ว่าจะเป็นคนจากศาสนาคริสต์ อิสลาม ฮินดู และอื่น ๆ ซึ่งเราก็เห็นว่าจริง เพราะดูจากการพูดการจากันแล้ว ทุกคนที่นี้ให้เกียรติ สุภาพและเป็นมิตรอย่างที่สุด
เมื่อผ่านโบสถ์พระแม่มาเรีย คุณลุงเล่าว่าพระแม่มาเรียเคยแสดงปาฏิหาริย์ช่วยคนให้พ้นจากโรคอหิวาห์ เมื่อครั้งโรคร้ายระบาดหนักบนเกาะ คุณลุงบอกว่า ตอนนั้นคนตายมากมายและคนที่มีชีวิตอยู่เริ่มสิ้นหวัง จึงมีคนไปสวดอ้อนวอนให้พระแม่มารีช่วย หลังจากนั้นไม่กี่วันโรคอหิวาห์ก็อันตรธานหายไป ทำให้คนเชื่อว่าเป็นปาฏิหาริย์ของพระแม่มารี แต่คุณลุงแอบกระซิบว่า ถ้าไปอ่านประวัติศาสตร์ดี ๆ จะพบว่าในช่วงเวลาเดียวกันนั้น ภูเขาไฟบนเกาะได้เกิดปะทุขึ้นและพ่นซัลเฟอร์ออกมา ซึ่งนั่นอาจเป็นปัจจัยที่ทำให้โรคอหิวาห์หายไปในที่สุด
เส้นทางสู่ซิลาโอสนั้น คดเคี้ยวไปมาอย่างไม่น่าเชื่อ บางทีคุณลุงก็ชี้ยอดเขาให้ดูว่าเราจะขึ้นไปถึงบนโน้นกัน ก็เล่นเอาเราหน้าซีดเพราะรู้ตัวว่ายังเหลือโค้งอีกนับร้อยที่ต้องฝ่าไปให้ได้ หลายครั้งที่รถต้องชะลอและหักพวงมาลัยตีโค้งจนเราต้องคว้าที่จับแน่น ๆ ด้วยว่ากลัวจะถูกเหวี่ยงลงมาจากที่นั่ง บางครั้งก็ต้องหยุดรอจังหวะเพราะรถสวนกันไม่ได้ รวมทั้งมีอุโมงค์รถเดินทางเดียว ทำให้คุณลุงต้องคอยบีบแตรส่งสัญญาณว่า “เราเข้ามาแล้วนะ อย่าสวนเข้ามาล่ะ” แต่ก็มีบ้างที่รถอีกฝั่งไม่ได้ยินเลยสวนเข้า ทีนี้ก็ต้องดูว่า ใครเข้ามาลึกกว่ากัน ฝ่ายที่เข้ามาทีหลังก็ต้องถอยรถออกไปโดยดี
เมื่อเกือบ 500 โค้งหฤโหดผ่านไป เราก็มาถึงซิลาโอสในที่สุด ซิลาโอสเป็นเมืองที่อยู่ใน 1 ใน 3 หุบเขาใหญ่แห่งรียูเนียน หุบเขาทั้งสามก็คือ มาฟัต (Mafate), ซาลาซี (Salazie) และซิลาโอส เมื่อมองจากท้องฟ้าจะเห็นหุบเขาทั้งสามเหมือนดอกจิกขนาดมหึมากลางเกาะรียูเนียน และมียอดเขาสูงสุด 3700 เมตร ชื่อ ปิตง เดอ แนจ (Piton de Neige) ที่กลางหุบเขาซิลาโอส มีหมู่บ้านเล็ก ๆ ชื่อเดียวกัน ในหมู่บ้านมีโบสถ์สีขาวและหอระฆังสูงที่มีฉากหลังเป็นภูเขาสูงทะมึน ผู้คนที่นี่มีกรุ้ปเลือดที่แตกต่างจากที่อื่นจนต้องตั้งชื่อว่า “กรุ้ปรียูเนียน” เลยทีเดียว ใครที่แวะมาที่นี่ต้องได้ชิมอาหารจานเด็ดที่มีชื่อว่า กราแต็ง ชูชู (Gratin Chouchou) ซึ่งเป็นฟักแม้วอบกับเนยแข็งหอมกรุ่น คนยุโรปดูจะชื่นชอบเป็นพิเศษ ผิดกับคนไทยอย่างเราที่รู้สึกว่าจืดไปหน่อย ทำให้กินได้ไม่มากนัก แต่ที่พวกเราสนใจเป็นพิเศษก็คือกล้วยเชื่อมราดเหล้ารัมที่มาพร้อมกับไปลุกโชน ที่จริงเราก็เคยเห็นอะไรทำนองนี้มาก่อน แต่ที่แปลกตาก็คือการจุดไฟ เพราะที่นี่เขาจุดไฟในกาเล็ก ๆ ที่ใส่เหล้ารัม ก่อนที่จะราดลงบนกล้วย เราจึงได้เห็นเปลวไฟสีฟ้าไหลลงมาพร้อมกับเหล้ารัมแล้วลามเลียไปตามลูกกล้วยจนทั่ว ได้กล้วยเชื่อมที่ร้อนกำลังดี ผสมรสชาติน้ำเชื่อมหวานลิ้นและกลิ่นเหล้ารัมหอม ๆ ไปพร้อมกัน ขากลับเรารู้สึกว่าลงมาเร็วกว่าที่คิดและไม่ค่อยเมารถเท่าไหร่ อาจเป็นเพราะเริ่มคุ้นเคยกับเส้นทาง ระหว่างทางเรายังได้แวะไปดู เลอ กุฟเฟรอะ (Le Gouffre) ซึ่งเป็นช่องหินแคบ ๆ ยาวประมาณ 2-3 เมตร ที่เมื่อน้ำทะเลซัดเข้ามาก็จะกระแทกไปมาจนเกิดเป็นฟองละเอียดฟูฟ่องเหมือนกับครีมชองติยี่ขาวนวลบนก้อนไอศกรีมขรุขระสีน้ำตาลเข้ม
เรากลับมาถึงแซ็งต์ เดอนีส์ ตอนประมาณ 1 ทุ่ม พอพักหายเหนื่อยก็เดินไปสมทบกับเพื่อน ๆ ชาวเครออล ที่บ้านฟรองซวส ก่อนที่จะออกไปซื้อของมาทำกับข้าวไทย พวกเราจึงได้สวมบทบาทอาจารย์ยิ่งศักดิ์กับคุณหมึกแดงอย่างเมามัน ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยแม้จะแตะกระทะตะหลิวอย่างจริงจังมาก่อนเลย แต่เราคนไทยจะเสียชื่อไม่ได้ เพราะอาหารไทยเป็นที่กล่าวขานไปทั่วโลก ในที่สุด เราก็ได้ไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ บะหมี่ผัดซีอิ้วและผัดผักรวมมิตร (อุตลุต) ออกมาให้ชาวเครออลได้กินกันอย่างเอร็ดอร่อยจนหมดทุกอย่าง เล่นเอาพวกเราภูมิใจกันน้ำตาแทบไหลพราก จากนั้นหน่วยทำลายเสบียงทั้งไทยและเครออลก็ย้ายฐานมาที่ห้องรับแขก เพื่อนชาวเครออลร้องเพลงและเต้นรำอย่างสนุกสนาน คนเครออลร้องเพลงเพราะทุกคน ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย สมาชิกบางคนในครอบครัวฟรองซวสเคยออกอัลบั้มมาแล้วด้วย พวกเรานึกมุขอะไรไม่ออกก็เอารำวงมาตรฐานเข้าสู้ สอนให้คนเครออลฟ้อนเล็บกันจนเกือบเที่ยงคืน จึงแยกย้ายกันกลับที่พักอย่างสำราญใจ
เช้าวันรุ่งขึ้น เรานั่งรถโรงแรมไปตลาดเช้า ที่แซ็ง เดอนีส์ มีตลาดอยู่สองแห่งคือ ตลาดเล็ก (le Petit Marché) และ ตลาดใหญ่ (le Grand Marché) แต่ว่าตลาดเล็กนั้น ใหญ่กว่าตลาดใหญ่เสียอีก เพราะว่าตลาดใหญ่นั้นเกิดขึ้นก่อนตั้งแต่คนยังมีจำนวนน้อย แล้วตัวเมืองขยายลงมาทางทะเลมากขึ้นเรื่อย ๆ จึงเกิดตลาดเล็กใกล้ ๆ กับชายทะเล ตลาดเล็กเติบโตตามจำนวนคนที่เพิ่มมากขึ้นจนกระทั่งใหญ่กว่าตลาดใหญ่ในที่สุด สินค้าที่ขายในตลาดเล็กนั้นแบ่งออกเป็นสองกลุ่มใหญ่ ๆ คือของสดจำพวกผัก ผลไม้ เนื้อสดและดอกไม้ และสินค้าหัตถกรรมจักสานเช่น กระเป๋า กระด้ง กระบุงและของแต่งบ้านที่ทำจากเชือกปอหลากสีสัน พอเดินชมตลาดเล็กจนทั่ว เราก็ออกเดินไปตามถนนคนเดินมุ่งสู่ตลาดใหญ่ ตลอดข้างทางมีร้านขายเสื้อผ้าและของตกแต่งบ้านมากมาย เมื่อได้สักครึ่งทาง เราก็แวะพักดื่มน้ำกันเพื่อจะได้เข้าห้องน้ำ เราเลือกร้านน้ำปั่นเล็ก ๆ ตรงมุมถนน เมื่อสั่งน้ำเสร็จก็ขอไปเข้าห้องน้ำ คนขายก็ใจดีหยิบกระดาษทิชชู่ส่งให้หลายแผ่นแถมพาไปจนถึงหน้าห้องน้ำ พอเข้าห้องน้ำเสร็จก็แอบไปดูครัว มีพ่อครัวคนหนึ่งกำลังผัดผักเอาไว้ใส่เป็นไส้แฮมเบอร์เกอร์ เขาคงเห็นว่าเราสนใจ จึงรีบตักผักที่ผัดเสร็จแล้วใส่ถ้วยเล็ก ๆ ให้เราชิม พอเราบอกว่าอร่อยมาก ก็บอกสูตรและวิธีทำเสียละเอียดชนิดไม่กลัวว่าเราจะไปเปิดร้านแข่งเสียเลย จากนั้นเราก็ออกเดินต่อจนไปถึงตลาดใหญ่ ทีแรกเราจินตนาการตลาดใหญ่ไว้เสียใหญ่โต แต่พอมาเห็นของจริงก็ผิดหวัง เพราะไม่ค่อยมีอะไรมาก นอกจากร้านขายผ้า เครื่องจักสานและของที่ระลึกไม่กี่สิบร้านเท่านั้น ใช้เวลาไม่ถึง 10 นาทีก็ดูจนทั่ว พวกเราจึงกลับโรงแรมเพื่อเก็บกระเป๋าเดินทางไปเกาะมอริเชียสในวันรุ่งขึ้น


บ่ายวันรุ่งขึ้นเราเดินทางถึงเกาะมอริเชียส ซึ่งอยู่ห่างจากรียูเนียนไป 150 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางโดยเครื่องบินเพียง 30 นาทีเท่านั้น เกาะมอริเชียสมีสถานะเป็นประเทศหนึ่ง เราจึงต้องขอวีซ่าจากกงสุลกิตติมศักดิ์ที่รียูเนียน เพื่อเดินทางเข้ามอริเชียส เรามีเวลาที่เกาะมอริเชียสเพียง 2 วัน และต้องทำงานเป็นหลัก จึงไม่มีเวลาไปเที่ยวชมความสวยงามของธรรมชาติ แต่เราก็ยังมีโอกาสไปเดินตลาดพื้นเมือง ซึ่งแตกต่างจากที่รียูเนียนอย่างสิ้นเชิง ตลาดที่นี่เหมือนตลาดสดบ้านเราไม่มีผิด มีการตะโกนเรียกลูกค้ากันอึกทึกครึกโครม สินค้าวางขายกันกลาดเกลื่อนทั้งบนโต้ะและบนถนนแบบแบกับดิน แถมยังต่อราคาได้อีก ผู้คนที่นี่ส่วนใหญ่เป็นคนเชื้อสายอินเดีย มีชาวจีนปะปนให้เห็นบ้าง แต่ที่น่าแปลกก็คือคนที่นี่พูดภาษาฝรั่งเศสและอังกฤษปนกัน ขนาดป้ายหน้าร้านยังเขียนอังกฤษบรรทัดหนึ่งและฝรั่งเศสอีกบรรทัดหนึ่ง เวลาพูดก็จะปน ๆ กันขึ้นอยู่กับว่านึกภาษาไหนออกก่อนกัน เป็นที่สนุกสนานสำหรับคนที่พูดฝรั่งเศสและอังกฤษอย่างเรามาก ๆ เพราะพูดอะไรออกไปคนก็เข้าใจหมด ด้วยความที่ประชากรส่วนใหญ่มีเชื้อสายอินเดีย อาหารการกินที่นี่จึงเป็นแบบอินเดีย มีแกงกับโรตีให้กินไม่เว้นวัน แต่แกงทั้งหลายอาจไม่ถูกปากคนไทยมากนัก เพราะรสชาติค่อนข้างจืดและมีกลิ่นเครื่องแกงค่อนข้างแรง ยกเว้นแป้งโรตีที่เหนียวนุ่มเมื่อเคี้ยวไปนาน ๆ จะออกหวานนิด ๆ เป็นที่ชื่นชอบของพวกเรา ดังนั้นถ้ากินอะไรไม่ได้เลย ก็ยังมีแป้งโรตีแผ่นใหญ่ ๆ ให้กินกันหิวได้ดีนัก ตกเย็นเราได้ไปเดินเที่ยวสวนพฤกษศาสตร์ สวนนี้จัดแต่งไว้เป็นอย่างดี มีต้นไม้ใหญ่ ๆ รูปทรงสวยงามมากมาย มีสวนสัตว์เล็ก ๆ ให้เราได้เดินไปดูกวางและเต่ายักษ์ที่นอนเรียงรายเหมือนกับก้อนหินก้อนใหญ่ ๆ ดู ๆ แล้วแต่ละก้อนน่าจะหนักเฉียดร้อยกิโลอยู่เหมือนกัน หลังจากได้เที่ยวพอหอมปากหอมคอ เราก็เตรียมตัวแพ็กกระเป๋าอีกรอบเพื่อเดินทางกลับมาที่รียูเนียนและขึ้นเครื่องแอร์ออสทราลกลับมายังเมืองไทย เป็นการปิดฉากการเดินทางสู่หมู่เกาะเหนือเส้นทรอปิกออฟแคปริคอร์นที่ 23.5 องศาใต้อย่างสมบูรณ์