6. ภาษาฮาเฮ
ที่สถาบันนักแปล ล่ามและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แม้จะคับแคบและไม่ค่อยมั่นคงแข็งแรง แต่ความอบอุ่นที่มีให้กันฉันเพื่อนนั้นเป็นสิ่งที่ประทับใจไม่รู้ลืม การที่ต่างคนต่างเอื้ออาทรเกื้อหนุนกันเป็นอย่างดี อาจเป็นเพราะว่านักเรียนส่วนใหญ่เป็นนักเรียนต่างชาติ ห่างบ้านห่างพ่อแม่และเพื่อนเก่า จึงเห็นอกเห็นใจกันและช่วยเหลือให้กำลังใจกันเวลามีความทุกข์ จึงไม่น่าแปลกอะไรที่เราได้เพื่อนชาวต่างชาติมากมาย เช่น เซเนกัล เยอรมัน กรีก โปรตุเกส ฯลฯ ส่วนเพื่อนฝรั่งเศสส่วนใหญ่จะเป็นชาวหอด้วยกัน การคบคนฝรั่งเศสเป็นเรื่องที่ยากกว่าการคบคนชาติอื่นสักนิดตรงที่ว่าคนฝรั่งเศสเป็นคนค่อนข้างเย็นชาและชอบวิจารณ์อะไรตรงไปตรงมา บางครั้งก็รุนแรงจนชนชาติอื่นรับไม่ได้ สำหรับเราเห็นว่าคนฝรั่งเศสเปิดเผยและจริงใจ ชอบไม่ชอบก็บอกกันตรงๆ ไม่อ้อมค้อมเหมือนคนไทย ซึ่งมันก็ดีไปคนละอย่าง ดังนั้น เวลาเรียนในห้อง คนฝรั่งเศสจึงเถียงอาจารย์ผู้สอนคอเป็นเอ็นในสิ่งที่ตนเองไม่เห็นด้วย อาจารย์ก็รับฟังและยอมรับความคิดเห็นถ้ามีเหตุมีผลสมควร
นักศึกษาฝรั่งเศสที่มีอัธยาศัยไมตรีน่าคบค้าสมาคมด้วยก็มีมาก นักศึกษากลุ่มนี้จะให้ความสนใจคนต่างชาติ จะคอยช่วยเหลือด้านภาษา แก้ไขภาษาให้พวกเด็กต่างชาติ รวมทั้งอาศัยความไม่ลึกซึ้งทางภาษาของเด็กต่างชาติมาล้อเลียนสร้างความสนุกสนานได้เหลือหลายนัก
มีครั้งหนึ่งผู้เขียนจับเข่าคุยกับนักเรียนต่างชาติและมีเฟรดเดริก เพื่อนสนิทชาวฝรั่งเศสร่วมอยู่ด้วยคนหนึ่ง คุยกันอยู่พักหนึ่งทุกคนก็พร้อมใจกันเงียบ เอเลฟเตริยา สาวจากเมืองเอเธนส์คงรู้สึกอึดอัดก็เลยโพล่งออกมา
"นี่ พูดอะไรบ้างสิ"
"อะไรบ้างสิ" เฟรด (ชื่อย่อเฟรดเดริก) ฉวยโอกาสทองทันที เอเลฟเตริยาทำหน้างง ๆ ในขณะที่เพื่อนคนอื่นหัวเราะยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เฟรดก็เลยอธิบายให้ฟังว่า ก็เธอสั่งว่า "พูดอะไรบ้างซี" ฉันก็พูด "อะไรบ้างซี" แล้วไง พอเธอเข้าใจ ก็ขว้างค้อนให้วงเบ้อเริ่ม
อีกครั้งหนึ่ง วันนั้นฝนตก คัทเธอรีน อีกหนึ่งในกลุ่มสาวกรีกบ่นกับเฟรดว่า
"เมื่อไหร่ปาสกาลจะเอาร่มมาคืนฉันนะ ฉันเดินไม่ได้ถ้าไม่มีร่ม" เธอพูดไปอย่างนั้น แต่หารู้ไม่ว่าได้เปิดช่องให้เฟรดแซวช่องเบ้อเริ่ม แล้วมีหรือที่คนอย่างเฟรดจะพลาดโอกาส
"อ้าว คนกรีกใช้ร่มเดินหรอกรึ นึกว่าใช้ขาเสียอีก”
คัทเธอรีนหัวเราะแบบเขิน ๆ เมื่อรู้ว่าตนเองพลาดไปแล้ว
ที่จริงเรื่องแซวคน เราก็จัดว่าถนัดเหมือนกัน แต่ก็ไม่เคยคิดจะล่วงเกินอาจารย์ผู้มีพระคุณ แต่วันนั้นด้วยความปากไวใจเร็วก็เลยขออนุญาตล่วงเกิน
วันนั้น เป็นวันที่เราต้องเรียนการเขียนภาษาฝรั่งเศสกับอาจารย์ฝรั่งเศสท่านหนึ่ง ท่านจัดว่าเป็นคนที่มีศิลปะในการสอนภาษาฝรั่งเศสมาก ใคร ๆ เรียนกับท่านก็ชื่นชม พอดีวันนั้นมีนักศึกษาพิเศษมาขอเข้าชั้นเรียนด้วย เป็นนักศึกษาสาวสวยมาจากสวิส เอกสารก็เลยไม่พอ เธอจึงมาขอแบ่งดูกับเรา เผอิญมีแบบทดสอบสำนวนภาษาฝรั่งเศสที่เกี่ยวกับหัวใจ ประเภทตัวไกลใจห่าง รักแท้แพ้ใกล้ชิด อะไรทำนองนั้น แล้วเราก็รู้จักสำนวนประเภทนี้พอสมควร ก็เลยตั้งหน้าตั้งตาตอบ อาจารย์คงสงสัยว่าวันนี้ทำไมอภิชาตตอบมากเป็นพิเศษก็เลยเปรยตั้งข้อสังเกต
"แหม วันนี้เราขยันเป็นพิเศษนะ” พลางเหลือบตาส่งสัญญาณ ให้คนอื่นมองสาวสวิสที่นั่งอยู่ข้าง ๆ เพื่อน ๆ ก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ เราก็รู้ว่าถูกอาจารย์แซวเข้าให้แล้ว แต่ก่อนที่อาจารย์จะหันมาเข้าบทเรียนต่อก็มีเสียงอภิชาตแว่วออกมาเบา ๆ แต่ชัดเจนทุกถ้อยคำ
"เปล่าหรอกครับ วันนี้เรียนวันสุดท้าย พรุ่งนี้ก็ปิดเทอมแล้วครับ เลยมีกำลังใจ” เพื่อนๆ ฮาลั่น ส่วนอาจารย์ก็หันมาจ้องหน้าเรา หัวเราะไปส่ายหัวไป คงคิดไม่ถึงว่าเราจะย้อนได้
อีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เกิดที่หอพัก ปาสกาล โลรองต์ แอนดรูว์ เฟาซี และเรา มานั่งกินกาแฟคุยกันเรื่องลักษณะทางภาษาของชาติของตน เฟาซี จากตูนิเซียดูเหมือนจะพูดมากเป็นพิเศษ พูดไปวิจารณ์ไปว่าภาษาฝรั่งเศสไปว่ายุ่งยากอย่างนั้นบ้าง สับสนอย่างนี้บ้าง มีแต่กฎกับข้อยกเว้นเยอะแยะไปหมด แต่แล้วก็ต้องมาพลาดตายสนิทเมื่อพูดเรื่องกาลในภาษาอาหรับของตน
"กาลในภาษาฝรั่งเศสเป็นเรื่องยุ่งยากบรม มีทั้งรูปปัจจุบัน อนาคต อดีต มันไม่เห็นจำเป็นเลย ทีในภาษาอาหรับเราไม่มีกาลอนาคตเลย” เฟาซีบ่นน้ำไหลไฟดับ
ทันใดนั้นมีเสียงแทรกของแอนดรูว์ สั้น ๆ แต่ได้ใจความถึงขนาดทำให้เฟาซีชะงัก
"หมายความว่าชาวอาหรับไม่มีอนาคตใช่มั๊ย”
เฟาซีพูดอะไรไม่ออก ได้แต่โดดลงจากโต๊ะลงไปปล่อยหมัดหยอก ๆ ใส่ไหล่แอนดรูว์สองสามที แล้วชูหัวแม่โป้งให้เป็นสัญลักษณ์ว่านายแน่มาก นี่ขนาดเด็กต่างชาติด้วยกันยังแซวกันได้ถึงขนาดนี้เลยนะนี่