2. ชมเมืองวันแรก มองหาเพื่อนใหม่
การสำรวจเมืองสตราสบูร์กเริ่มด้วยการเดินทางไปดูสถานที่เรียนที่ตั้งอยู่ในอาคารชั่วคราว เพราะกำลังรองบก่อสร้างอาคารแห่งใหม่ มันดูไม่ค่อยมั่นคงแข็งแรงสักเท่าใดนักเพราะทำจากตู้คอนเทนเนอร์ นึกสบถในใจว่านี่เหรอฟะ สถาบันนักแปล ล่ามและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (Institut de Traducteurs, d’Interprètes et de Relations Internationales) ขณะยืนลังเลว่าจะไปทางไหนดี ก็มีผู้ชายตัวใหญ่มหึมาเปิดประตูออกมา มองหน้าเราแล้วถาม “เมอซิเยอเปิ๋มชาวาลี๊ต????” ที่จริงเขาถามว่า “นี่คุณเพิ่มชวลิตใช่ไหม” แต่ว่าออกเสียงนามสกุลเราไม่เป็น ก็เลยฟังประหลาด ๆ อ้อ แล้วคนฝรั่งเศสเจอกันครั้งแรกก็จะเรียกด้วยชื่อสกุล ก็เลยยิ่งฟังประหลาดเข้าไปกันใหญ่ เรารีบตอบว่าใช่ เขาก็เลยรีบแนะนำตัวว่า เขาชื่อ เอิตเซล เป็นผู้อำนวยการของสถาบัน สถานทูตฝรั่งเศสประจำประเทศไทยแจ้งท่าน ผ.อ.ให้รู้แล้วว่าจะมีคนไทยมาเรียนที่สถาบันนี้เป็นรายแรก ท่านก็เลยลงมาดูแลเป็นพิเศษ หลังจากคุยได้สักพัก เราก็ปลีกตัวออกมา
ช่วงที่เราเดินวนไปวนมาในสถาบัน ได้มีโอกาสทำความรู้จักกับนักเรียนคนอื่นด้วย ขาออกก็เลยได้เพื่อนติดมือมาสองสามคน เป็นหนุ่มอาหรับหนึ่งคน และสาวกรีกอีกสองคน ทั้งหมดมีเป้าหมายการเดินทางอยู่ที่ Resto U (เรสโต้ อู) หรือร้านอาหารมหาวิทยาลัยนั่นเอง แต่อย่าคิดว่ามีเงินแล้วจะกินข้าวที่นี่ได้ เพราะร้านอาหารมหาวิทยาลัยไม่รับเงินสด ถ้าเป็นที่เมืองอื่นส่วนใหญ่ต้องไปซื้อคูปอง แต่ที่สตราสบูร์กใช้บัตรสมาร์ทการ์ด บัตรนี้ต้องไปเช่าจากทางหน่วยงานมหาวิทยาลัย แล้วเติมเงินเข้าไป ซึ่งอาจจะไปเติมที่เคาน์เตอร์หน้าโรงอาหารหรือเติมกับเครื่องเอทีเอ็มก็ได้ แต่วันไหนที่ตู้เอทีเอ็มเกิดพร้อมใจกันเสีย นักเรียนก็แทบจะอดตายกันทั้งเมือง ต้องไปเข้าคิวเพื่อชาร์จบัตรที่เคาน์เตอร์เป็นเวลานาน เมื่อความหิวกับความหนาวจู่โจมพร้อมกันมันแสนจะทรมานจริง ๆ
เวลาซื้ออาหารต้อง “เข้าคอก” เราเรียกแบบนั้นเพราะต้องเดินวนไปวนมาในรั้วเหล็กที่เหมือนทางบังคับให้วัวเดินเวลาเข้าคอกอยู่สองสามรอบจึงจะถึงเคาน์เตอร์รับอาหาร อันดับแรกหยิบถาด แก้วน้ำ มีดและส้อม หยิบขนมปังตามความพอใจ ออร์เดิฟหนึ่งอย่าง ของหวานหนึ่งอย่าง แล้วจึงเลือกอาหารจานหลักซึ่งจะมีให้ประมาณ 2-3 อย่าง โต๊ะกินข้าวจะเป็นโต๊ะยาว นั่งได้หลายคน บนโต๊ะจะมีเหยือกน้ำประมาณ 1-2 เหยือก เป็นที่รู้กันที่ว่า ถ้าใครเทน้ำหมดเป็นคนสุดท้าย จะต้องลุกไปตักมา
เราจำได้แม่นว่า อาหารที่โรงอาหารมื้อแรกประกอบด้วยข้าวแข็ง ๆ มีเนื้อสัตว์ราดครีมสีเทา ๆ และมีผักโขมตีละเอียดเละ ๆ อยู่ข้าง ๆ เพียงคำแรกที่ทุกคนตักผักโขมเข้าปาก ก็ต้องสะดุ้งด้วยรสชาติที่เหมือนจะไม่เป็นมิตรกับลิ้นเอาเสียเลย ทุกคนก็เลยต้องเขี่ยผักโขมแหยะ ๆ เอาไว้ข้างจานแล้วหันมากินข้าวกับเนื้อดีกว่า
เมื่อกินข้าวเสร็จ เราก็ไปเดินสำรวจเมือง สตราสบูร์กเป็นเมืองที่สะอาด มีระบบการขนส่งมวลชนที่ดีมาก ๆ รถรางที่นี่เป็นรถรางที่ทันสมัย วิ่งเงียบ ที่นั่งสะดวกสบาย ประตูเปิดด้วยระบบสัมผัส แว่ว ๆ มาว่าเป็นเทคโนโลยีจากอังกฤษ ไม่ใช่ของฝรั่งเศสหรอก ไม่รู้ว่าจริงเท็จอย่างไร ตั๋วขึ้นรถแบบไปเที่ยวเดียวราคาประมาณ 50 บาท ใช้เดินทางทั้งบนรถบัสและรถรางได้ภายในเวลา 1 ชั่วโมง แต่ห้ามย้อนกลับ ถ้าย้อนกลับต้องตอกตั๋วใบใหม่ ตั๋วหาซื้อได้บนรถ ที่สำนักงานขายหรือตัวแทนขาย เช่น ที่ร้านขายบุหรี่ เป็นต้น เวลาขึ้นรถ ผู้โดยสารทุกคนมีหน้าที่ตอกตั๋ว เพราะไม่มีกระเป๋ารถ ตู้ตอกตั๋วจะติดอยู่กับเสาเหล็กกลางรถ แรก ๆ เวลาจะตอกตั๋วมักจะหารูเสียบตั๋วไม่ค่อยเจอ เพราะมันเล็กมาก ต้องยืนลูบ ๆ คลำ ๆ ตู้อยู่พักหนึ่งถึงจะเจอ เราเคยทำอยู่สองสามหน ฝรั่งทั้งรถก็มอง คงสงสัยว่าไอ้นี่คงไม่ปกติ
เมื่อเดินดูเมืองจนเมื่อย เราก็กลับหอพัก ที่จริงน่าจะเรียกว่าเป็นรังผึ้งมากกว่า เพราะมีขนาดเล็กมากสมกับค่าเช่าที่ตกเดือนละไม่กี่พันบาท ในแต่ละห้องมีอ่างล้างหน้า ตู้เสื้อผ้า โต๊ะ และ เตียงอย่างละหนึ่งชิ้น ในชั้นหนึ่ง ๆ มีห้องกว่า 40 ห้อง มีห้องน้ำและห้องส้วมที่ปีกซ้ายขวา และมีห้องครัวเล็กๆ ให้หนึ่งห้อง สถานที่เหล่านี้เป็นที่ก่อวีรกรรมมากมายของนักเรียน เราจะค่อยเล่าให้ฟังทีหลัง นอกจากหอพักแบบนี้แล้ว ยังมีสตูดิโอมหาวิทยาลัยอีกซึ่งเป็นที่พักของนักศึกษาระดับปริญญาโทขึ้นไป และผู้ที่จะเข้าอยู่ได้ต้องมีอายุอย่างน้อย 21 ปี ลักษณะเป็นห้องส่วนตัว มีครัวมีห้องน้ำในตัว ค่าเช่าแพงกว่าประมาณสองเท่า เราเคยเปรยกับเพื่อนฝรั่งเศสคนหนึ่งว่าจะย้ายไปอยู่สตูดิโอ เพื่อนก็รีบถามกลับมาว่า "นายอายุครบยี่สิบเอ็ดแล้วรึ” เฮ้ย ข้าน่ะยี่สิบห้าแล้วนะ บอกมันอย่างนี้แล้วมันยังทำหน้างง ๆ ใส่เราอีก พวกฝรั่งนี่ชอบคะเนอายุเราจากความสูง
ปกติแล้วอาหารกลางวันเราจะกินกับเพื่อนที่โรงอาหารแต่อาหารเย็นจะทำเอง ถึงแม้ว่าจะมีโรงอาหารเล็ก ๆ อยู่ข้าง ๆ หอพักก็ตาม ทั้งนี้เป็นเพราะช่วงแรก ๆ ยังหาเพื่อนกินข้าวเย็นไม่ได้ และพวกเด็กหอก็ชอบทำอาหารกินเอง เพราะถูกกว่ามาก อาหารประจำของเด็กหอก็ได้แก่ สปาเก็ตตี้ พาสต้าราดซ้อสมะเขือเทศสดหรือไม่ก็อาหารสำเร็จรูปบรรจุกระป๋อง สำหรับเรา มีหม้อข้าวมาด้วย จะกลัวอะไร ว่าแล้วสูตรพิสดารต่าง ๆ ที่คุณแม่ไม่เคยสั่งสอนก็เข้าแถวกันออกมา บางวันก็เอาไข่ลงไปต้มพร้อมข้าวในหม้อหุงข้าวตามที่อาจารย์รุ่นพี่แนะนำมา บางวันก็ซื้อปลาซาร์ดีนมายำกิน โดยหลอกตัวเองว่าเป็นยำ เพราะไม่มีเครื่องปรุงอะไรเลยนอกจากน้ำมะนาวเหลือง น้ำปลาและพริกจืดๆ มีครั้งหนึ่งเราเห็นปลาหมึกกระป๋องดูน่ากิน เขียนข้างกระป๋องว่าปลาหมึกในซ๊อสพริกก็เลยซื้อมาลองดู แต่ด้วยความพิเรนทร์ ขณะที่ข้าวใกล้สุกก็เทปลาหมึกลงไปทั้งกระป๋องกะว่าจะได้กินร้อนๆ ปรากฏว่าน้ำในปลาหมึกทำให้ข้าวแฉะ แล้วพอตักเข้าปากคำแรกก็แทบจะคายพรวดออกมา เพิ่งรู้ว่าปลาหมึกก็เหม็นสาบกับเขาเป็นเหมือนกัน สาบเหมือนกับแกะเลยทีเดียว หลังจากฝืนทนกินเข้าไปได้สักสามคำก็ตัดสินใจยอมแพ้ เททิ้งถังขยะทั้งหม้อ เราว่าถ้าถังขยะมันมีชีวิต มันคงกระโดดหลบสุดตัว ตั้งแต่นั้นก็ไม่เคยรู้สึกอยากกินปลาหมึกราดซ๊อสพริกอีกเลย Adieu!