ReadyPlanet.com


คนไทยอ่านหนังสือน้อย


คอลัมน์ เดินหน้าชน

โดย เจตนา จนิษฐ jetana@matichon.co.th

วันก่อนเห็นข้อมูลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ เดือนกันยายน ปี 2548 เกี่ยวกับผู้ไม่อ่านหนังสือของประเทศไทย ที่คุณริสรวล อร่ามเจริญ นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศไทย (ส.พ.จ.ท.) ยกมากล่าวถึงเมื่อเร็วๆ นี้แล้วน่าตกใจจริงๆ ครับ

เป็นตัวเลขที่น่าตกใจและน่าเป็นห่วง เพราะมีผู้ที่ไม่อ่านหนังสือถึง 22.4 ล้านคน หรือเกือบ 40% ของประชากรทั้งประเทศ เหตุผลที่ไม่อ่านหนังสือเพราะว่าชอบดูโทรทัศน์ หรือฟังวิทยุมากกว่า

โดยเฉพาะเด็กที่มีอายุ 10-14 ปี กว่า 60% ให้เหตุผลถึงการไม่อ่านหนังสือ เพราะไม่ชอบ และไม่สนใจ

ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านไทยอย่างสิงคโปร์ คนในบ้านเขามีสถิติการอ่านหนังสือถึงปีละ 40-50 เล่ม ส่วนเวียดนาม มีสถิติอ่านหนังสือปีละ 60 เล่ม แต่เมื่อเปรียบเทียบกับคนไทยแล้วมีสถิติการอ่านหนังสือแค่ปีละ 2 เล่ม ห่างกันลิบลับ

ผมเห็นด้วยกับที่นายกสมาคมผู้จัดพิมพ์ฯเป็นห่วง คือ ขณะนี้การอ่านหนังสือของคนไทยกำลังเข้าสู่ภาวะวิกฤต!

เป็นภาวะวิกฤตที่สมาคมผู้จัดพิมพ์และผู้จำหน่ายหนังสือแห่งประเทศ เล็งเห็นและได้จับมือกับภาคีเครือข่ายขององค์กรต่างๆ ช่วยกันผลักดันให้ การอ่านหนังสือ เป็นระเบียบวาระแห่งชาติ...

 

อาจารย์ต้นว่าเรามาช่วยกันอ่านเพิ่มอีกสักคนละเล่มเถอะ ไม่ไหวแล้ว



Post by อาจารย์ต้น :: Date 2010-02-21 08:30:50 IP : 124.120.185.159


[1]

Opinion No. 1 (3195131)

อาจารย์ ผมรู้ตัว ว่าแสดงความเห็นไม่ค่อยน่ารัก แต่ผมว่านะ ครูภาษาไทยนั้นแหละ ไม่รู้จักบทบาทหน้าที่ตัวเอง เวลาเลือกบทอ่านให้เด็กเล็กๆ ผมว่าไม่เหมาะสมเลย คือ แบบว่า เลือกแบบยากๆ มาก คือ ตามหลัก ต้องอ่านจากง่ายไปก่อน แล้วเรื่องวรรณคดีมรดก ถ้าเป็นเรื่องบ้าน ผมว่าสนุกกว่า วรรณกรรมในราชสำนักอีก คือวรรณกรรมราชสำนัก เก็บไว้ ม ปลาย ก็ได้

แล้วไม่มีพื้นที่ของวรรณกรรมโลก ในชั้นเรียน มัธยมเลย ไม่ใช่ว่าต้องเป็นฝรั่งก็ได้ นะครับ เป็นจีน เป็นแอฟริกา อินเดี่ยนแดง อะไรก็ได้

ครูภาษาไทยที่เจอมา หลายคนใจแคบมาก ต้องตีความแบบตัวเอง เท่านั้น สะท้อนให้เห็นว่า รัฐมีบทบาท เลือกให้เด็กจำอะไร หรือลืมอะไร

ครูฝรั่งเศสน่ะเริ่ดสุด เอาเพลงงี้มาสอนเด็ก แล้วกิจกรรมในชั้นเรียนก็ไม่ป่วงด้วย น่าเสียดายที่กระทรวงศึกษาไทย ลดความสำคัญของภาษาฝรั่งเศสไปเรื่อยๆ คงเป็นเพราะ เด็กจะหัวเอียงซ้ายหมด ผมเข้าใจนะ ว่ารัฐไทย พยายามกีดกันแนวคิดของฝรั่งเศส ที่ออกจะ radical มาก สำหรับเมืองไทย เพลงที่เกี่ยวกับปกครองในฝรั่งเศส โนแบนจาก ICT เรียบร้อยแล้วครับ ผมว่ารัฐไทย ระแวงเกินกว่าเหตุครับ

ก่อนจะฝันไปไกลถึงเรื่องเด็กไทยอ่าน การ Block ข้อมูลข่าวสาร ต้องขจัดไปก่อน

 

By เพลง (narinnn-at-hotmail-dot-com)Date 2010-02-21 11:57:22 IP : 58.8.46.147


Opinion No. 2 (3195331)

อืม คงจะเป็นผลพวงมาจากระบบการศึกษาหรือเปล่า ที่พูดนี่รู้เลยว่าตัวเองก็อ่านหนังสือน้อยมาก เพราะถ้าไม่ได้ถูกสอนให้ค้นคว้าด้วยตัวเอง หรือถูกสอนให้สนใจใคร่รู้   การอ่านก็อาจเกิดขึ้นเฉพาะในสถานศึกษา คืออ่านให้ตอบข้อสอบได้ ไม่ได้เกิดจากนิสัย  ดังนั้นน้อยคนจึงรักการอ่าน  ยิ่งปัจจุบันยิ่งมีสิ่งยั่วยุเต็มไปหมด ทั้งเกม ทั้งสิ่งบันเทิงต่างๆ  ทำให้เด็กไทยห่างการอ่านเข้าไปทุกขณะ  เรานี่โตขึ้นมาก็พยายามอ่านให้มากขึ้นแต่ก็ยังรู้สึกว่าน้อยอยู่ดี สถิติที่เคยเห็น  น้อยกว่า 2 เล่ม นะครับ  อย่าว่ากันเป็นเล่มเลย ไม่กี่หน้าต่อปี ครับ เพราะเข้าใจว่ามีคนไทยอีกจำนวนมากที่อ่าหนังสือไม่ออก หรืออ่านไม่แตกฉาน แล้วจะสังเกตุพบอีกว่า (ด้วยตัวเอง) คนไทยเขียนภาษาไทยผิดกันเยอะมาก ไม่ว่าจำคำยากคำง่าย  อันนี้เป็นสิ่งน่าวิตก  แล้วก็คนไทยชอบใช้คำประหลาดๆ เช่น แอ๊บ เอิ๊บ นิดๆ ก็พอจะน่าฟัง แต่พอมันเยอะๆ ก็อดรำคาญไม่ได้  วันนั้นดูหนังฝรั่งเรื่องหนึ่ง ให้คำบรรยายภาษาไทยใช้คำว่า สุโก๊ย  (จำประโยคเต็มไม่ได้) จริงๆ แล้วไม่คิดว่าคนที่แปลบทนี้จะเข้าใจความหมายของคำนี้  เพราะจริงๆ แล้ว เราว่ามันคงมาจากคำที่คนเลียนแบบมาจากโฆษณา จริงๆ แล้ว เราว่าเสียงมันออกค่อนไปทาง  ซึโง่ย มากกว่า จะเป็น สุโก๊ย และเท่าที่รู้มา คำนี้มันเป็นคำญี่ปุ่น ที่แสดงความตกใจ ประหลาดใจ หรือชื่นชม ในระดับที่มากกว่าปกติ ก็งงว่าคนทั่วๆ ไป ที่มาดูหนังเรื่องนี้ โดยต้องอ่านคำบรรยาย จะเข้าใจอะไรแบบนี้หรือ

By ไวศย Date 2010-02-22 01:30:18 IP : 58.8.104.14


Opinion No. 3 (3195398)
ดี ดี ครับ ขอความเห็นเยอะ ๆ แล้วเดี๋ยวว่าง ๆ เราจะมานั่งถกกัน วันนี้อยู่โรงงานต้องทำงานก่อนครับ เดี๋ยวอาจารย์ต้นมาแน่ ฮ่า
By อาจารย์ต้น Date 2010-02-22 10:57:37 IP : 118.175.66.165


Opinion No. 4 (3195589)
ผมว่าเด็กถูกสอนผิดตั้งแต่การค้นคว้าแล้ว เดี๋ยวนี้อ.ที่สอนแต่ละคนไม่ให้ความเอาใจใส่กับการตรวจการบ้านเด็กแล้ว แค่บอกให้เด็กไปหางานมาส่งทำเป็นรายงาน เด็กก็แค่เปิดเน็ตหาอ่านๆก๊อบๆวางๆ แล้วก็เอาไปส่งเนื้อหาที่ได้ก็น้อยมากความรู้ก็แทบจะไม่มี แล้วก็เอาเวลาไปทำอย่างอื่นซะหมด ผมว่าน่าจะปลูกจิตสำนึกให้เด็กหาความรู้จากหนังสือตั้งแต่เด็กๆ เช่นให้เด็กเขียนงานจากในหนังสือมาส่ง(ผมคนนึงเมื่อก่อนไม่ชอบแต่ก็คิดว่ามันน่าจะเป็นทางแก้ได้) เพราะเมื่อก่อนผมก็ถูกสอนมาหลายๆอย่างเช่นว่าบางอ.ให้ทำรายงานพิมพ์ได้บางอ.ให้เขียน ผมก็เลยชอบพิมพ์ซะมากกว่าเพราะมันสบาย แต่ผมว่าถ้าเริ่มปลูกจิตสำนึกให้เยาวชนได้ตั้งแต่เด็กๆการที่ประเทศไทยจะมีคนรักการอ่านมากขึ้นก็ไม่ใช่เรื่องยาก ผมก็เป็นอีกคนนึงที่ไม่ชอบการอ่านยกเว้นในเรื่องที่ผมสนใจจริงๆผมก็จะหาอ่านโดยไม่ต้องให้มีใครบังคับ เช่นเรื่องภาษาฝรั่งเศสกับเรื่องคอมพิวเตอร์อะไรที่เป็น2อย่างนี้ผมไม่เกี่ยงเลยที่จะอ่าน ปล.ขอโทษครับที่พิมพ์ติดๆกันไม่รู้ทำไมมันเว้นวรรคไมไ่ด้
By บลิว Date 2010-02-22 20:33:00 IP : 118.173.8.125


Opinion No. 5 (3195596)

ขนาดห้องสมุดของโรงเรียนที่ได้ชื่อว่าเป็นโรงเรียนสาธิตยังพึ่งไม่ได้เลย จะหวังอะไร เรื่องให้เด็กเขียนเรียงความ เด็กห้องหนึ่ง 40 คน ก็อ่านจะทำให้ครูขี้เกียจตรวจ

ผมว่านะ หนังสือ มันต้องเริ่มจากง่ายไปยากอยู่กีแหละ ไม่ใช้ว่าเริ่มที่ยาขม เอาวรรณกรรมเอกมาให้เด็กเรียนงี้ เด็กที่เขียนไม่เป็นภาษา ก็จะโตเป็นผู้ใหญ่ที่เขียนอะไรน้ำท่วมทุ่ง วนไปวนมา

ครูสอนภาษาอังกฤษ บอกเด็ก หนูต้องเขียนให้กระชับนะค่ะ เปิดเรื่อง กับปิดเรื่องอาจจะยากหน่อย มี argumentative สังคมไทย argument อะไรได้บ้าง ไม่ได้เลย ความคิดสำเร็จรูป block หมด

 

 

By เพลง (narinnn-at-hotmail-dot-com)Date 2010-02-22 21:11:51 IP : 58.11.93.170


Opinion No. 6 (3196226)

อืม เรือ่งนี้เป็นเรื่องใหญ่จริง ๆ อาจารย์ต้นเห็นด้วยว่าเราอ่านน้อย ใช้เวลาไปกับการดูหนังและรับข้อมูลสำเร็จรูปมากกว่า สังเกตได้ว่าเวลาเราคุยกับฝรั่ง มันหา argument มาเถียงได้เป็นคุ้งเป็นแคว ขณะที่เราเถียงไปเถียงมาก็จนปัญญาด้วยข้อมูลเราน้อยกว่า เพราะเขาอ่านมากกว่า แล้วก็รู้จักเชือมโยงประเด็นเพื่อสร้างเป็นข้อโต้แย้งและข้อสรุป

ที่จริง อ. ต้น ไม่ได้จำกัดการอ่านอยู่แค่ที่หนังสือนะครับ อ่านอะไรก็ได้ วิธีไหนก็ได้ที่ทำให้เราได้ประโยชน์ อ่านแล้วรู้จักคิด วิเคราะห์และแยกแยะ นำความรู้ที่ได้มาใช้ประโยชน์ในการเรียนและดำรงชีวิต  การอ่านในเมืองไทยมันเป็นวังวนที่แก้ยาก ถ้าจะพูดถึงหนังสือ หนังสือเมืองไทยมีตัวเลือกน้อย ถ้าใครไปเดินร้าน fnac ที่ฝรั่งเศสจะเห็นว่าตัวเลือกหนังสือเขาตระการตามาก รูปเล่มก็ดี เรื่องก็น่าสนใจ หลากหลาย อันนี้ไม่ได้เชียร์ฝรั่งเศสนะ เพราะชอบ แต่ไม่หลง แต่ของเขาดีจริง หรือหนังสือของญี่ปุ่นก็ดี คุณภาพสุดยอด ไอเดียสร้างสรรค์บรรเจิด

อ. ต้น  ทั้งแปลและเขียนหน้งสือ จนหลัง ๆ ไม่กล้าจะทำเท่าไหร่แล้วเพราะสงสารสำนักพิมพ์ กว่าจะขายได้สักพันสองพันเล่ม มันยากเย็นแสนเข็ญ ลุ้นกันเป็นปี ๆ หลัง ๆ ก็เลยหันมาเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ตดีกว่า เพราะต้นทุนต่ำกว่า ออกเอง ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน ถูกใจก็โหลดกันไป ไม่ถูกใจก็ข้ามไป ไม่ต้องเสียตังค์ซื้อ

เมื่อวันก่อนไปเดินซีเอ็ดอยู่เกือบชั่วโมง ไม่ได้หนังสือติดมือกลับมาซักเล่ม บนแผงก็มีแต่พวกกอสสิปดารา บนชั้นก็จะเป็นพวกฮาวทู (พวก รวยทางลัด ทำบุญชนะบาป ....อะไรปานนี้) ไม่ค่อยถูกใจ ก็เลยเดินมือเปล่ากลับบ้านซะงั้น รอเพื่อนฟอร์เวิร์ดเมลมาให้อ่านดีกว่า ฮา...

พรุ่งนี้จะไปกัมพูชา ว่างเมื่อไรจะไปสำรวจร้านหนังสือเขาเสียหน่อย เพราะอาจมีหนังสือฝรั่งเศสให้เลือก แล้วจะมาอัพเดทกันนะครับ

By อาจารย์ต้น Date 2010-02-23 08:57:29 IP : 124.120.184.44


Opinion No. 7 (3197062)
อืม จริงๆ อ.ต้นพูดถูกมาก เรื่องหนังสือนี่ ของฝรั่ง ญึ่ปุ่น หรือแม้แต่จีน ดีกว่าเราจริงๆ เมื่อก่อนชอบไปร้านหนังสือเหมือนกัน แต่หลังๆ ทำงานไม่ค่อยไม่มีเวลาอ่าน เลยซื้อน้อยลง เพราะหนังสือแพงขึ้น  ไปเดินเจอแต่หนังสือดูดวง แฟชั่น หนังสือ ที่เป็นวิชาการ คงขายได้ยาก เพราะคนไม่ค่อยอ่าน ทำให้มีตัวเลือกน้อยมากๆ  บางเล่มยังหลงซื้อมา เพราะไม่ได้ดูให้ดี  มาดูอีกทีซื้อมาทำไมนี่ ไม่มีประโยชน์เลย เดี๋ยวนี้ซื้อหนังสือเลยต้องอิงสำนักพิมพ์ เพราะถ้าหนังสือดี ส่วนใหญ่จะใช้ได้ทั้งหมด คือเนื้อหาหนังสือและมาตรฐานการคัดต้นฉบับจะเป็นทำนองเดียวกันหมด 
By ไวศย Date 2010-02-26 23:59:00 IP : 58.8.111.217


Opinion No. 8 (3197221)
ก่อนอื่น ขอขอบคุณอาจารย์ต้นที่ทำสื่อดีๆ ออกมาเผยแพร่ค่ะ เกี่ยวกับเรื่องการอ่านหนังสือของเด็กไทย เราคงต้องช่วยกันทุกฝ่ายค่ะ โดยต้องเริ่มกันตั้งแต่ก่อนเริ่มเข้าเรียนอนุบาลเลยล่ะค่ะ ครอบครัวเป็นที่แรกที่จะปลูกฝังให้เด็กรักการอ่าน พ่อแม่ต้องรักการอ่าน และไม่ขี้เกียจอ่านหนังสือให้เด็กๆ ฟังด้วยค่ะ ที่สำคัญต้องหมั่นหาหนังสือใหม่ๆ มาจูงใจ โดยอาจพาไปยืมจากห้องสมุดก็ได้ค่ะ ไม่ต้องซื้อหาถ้าเกรงใจกระเป๋าตังค์จริงๆ ล่ะก็ (ตรงนี้ ดิฉันว่าเด็กต่างจังหวัดได้เปรียบ เพราะใน กทม. ห้องสมุดประจำชุมชนหายาก แต่ใน ตจว. ยังพอมีห้องสมุดประจำจังหวัดที่ดีๆ หรือประจำอำเภอ เดินทางไปก็สะดวก) สำหรับโรงเรียน ในส่วนการบริหารงบประมาณเพื่อเพิ่มจำนวนหนังสือน่าอ่านนั้น ดิฉันไม่ขอออกความเห็น เพราะไม่มีข้อมูล แต่ดิฉันออกจะเห็นใจครูในโรงเรียนไทยส่วนใหญ่ค่ะ สอนทีนึง 40 คนต่อห้อง (ถ้าเป็นเด็กเล็กๆ น่าจะคอแห้งนะ) แล้วยังเจอนโยบาย+ความคาดหวังจากพ่อแม่ส่วนใหญ่ ให้เน้นการเรียนการสอนเพื่อไปสอบเรียนต่อ ไม่เน้นการเรียนการสอนแบบค่อยเป็นค่อยไปตามลำดับ เพื่อรู้ให้จริง ต่อยอดได้ นำไปใช้ได้เองด้วย แต่ก็น่ายินดี ดิฉันเคยพบโรงเรียนอนุบาลไทยบางแห่ง มีห้องสมุดให้เด็กๆ และยังให้เด็กๆ นำหนังสือที่ตัวเองเลือกกลับไปอ่านกับพ่อแม่ทุกสุดสัปดาห์ ซึ่งเป็นไปในลักษณะเดียวกับโรงเรียนนานาชาติ ก็หวังว่าสักวัน คนไทยจะมีการแข่งขันในการทำโรงเรียนที่แตกต่างให้มากกว่านี้ และพ่อแม่คนไทยจะขยันอ่านหนังสือมากกว่านี้ และดูทีวีน้อยลงกว่านี้ ^ ^"
By มณีเจ็ดแสง Date 2010-02-27 23:21:57 IP : 180.180.96.148


Opinion No. 9 (3197253)

ขอบคุณครับ และก็ขอบคุณทุกคนที่สละเวลามาร่วมพูดคุยกันทำให้มีสาระน่าสนใจ มุมมองหลากหลาย ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อเราเองทุกคนครับ

ผมเห็นด้วยกับที่ว่า พ่อแม่บางคนปล่อยให้ลูกดูทีวีเยอะไป สภาพเศรษฐกิจมันบังคับให้พ่อแม่ต้องหาทางหลอกล่อไม่ให้ลูกมากวน ตนเองจะได้มีเวลาไปหาปากท้อง แต่นั่นก็เป็นการทำร้ายลูกอยู่พอควร เพราะทีวีเป็น one way communication (ถึงตอนนี้จะเถียงได้ทางเอสเอ็มเอส แต่ก็ถูกกรองไปไม่น้อย) ลูก ๆจึงรับข้อมูลโดยไม่มีทางโต้แย้งว่าไม่เอา หรือไม่เห็นด้วย พอไปเรียนหนังสือ ก็ติดนิสัย รับ อย่างเดียว รับแบบ passive ด้วย คือคิดต่อไม่ได้ ต่อยอดไม่เป็น ชอบทุกอย่างที่สำเร็จรูป เทน้ำร้อนใส่ ก็กินได้ แต่การอ่านหนังสือ จะช่วยให้เด็กอดทน รู้จักลงทุน และเข้าใจว่า สิ่งดี ๆ นั้น ไม่ได้หามาอย่างง่ายดาย ต้องลงทุนก่อน ต้องศึกษาทั้งศัพท์ รูปแบบการใช้ภาษา ต้องมีความรู้เพื่อการตีความ รู้จักซาบซึ้งในอรรถรส รู้จักจินตนาการที่กว้างไกล

แต่ เอ คิดอีกที จะทำยังไงให้การอ่านหนังสือมันสนุกสนานเหมือนกับการเล่นเกมส์ออนไลน์ละครับ หรือว่าเรากำลังพูดถึงคนที่อายุน้อยกว่า และอยู่คนละยุคคนละโลกกับเรา โลกของเราเป็นโลกที่คาบเกี่ยวระหว่างหนังสือกับดิจิตัล แต่โลกของเขาเป็นโลกดิจิตัลไปแล้ว ถ้าเราเกิดในยุคเดียวกับเขา เราจะอ่านหนังสือเยอะไหม ในเมื่อมีสิ่งอื่นที่น่าจะสนุกกว่า มันกว่า ชิวกว่า น่าคิดนะครับ 

By อาจารย์ต้น Date 2010-02-28 11:06:14 IP : 124.120.187.247


Opinion No. 10 (3202656)

อ.สอนภาษาไทย เคยเล่า ว่าเมื่อก่อนจะจีบกันที่ส่งจดหมายรอกันเป็นวัน

แต่เด็กปัจจุบัน รออะไรกันไม่ได้แล้ว อยากได้นู่นก็ต้องได้ อยากได้นี่ก็ต้องได้

ยุคสมัยเปลี่ยนไป อะไรๆมันก็สะดวกสบายขึ้น ความอดทนของคนเลยมีน้อยลง (อันนี้อาจารย์พูด)

ผมก็เอา มาคิด มันก็จริง เดี๋ยวนี้เรื่องนิดเรื่องหน่อยก็ทำจนกลายเป็นเรื่องใหญ่โต เพราะคนเราไม่มีความอดทนกันแล้ว

อยากให้รัฐบาล ลองหาทางพัฒนาการศึกษาไทย หรือไม่ก็เอาอย่างต่างชาติ เขาไปเลย

รัฐบาลน่าจะทำเป็นศูนย์ สำหรับ ให้ผู้ปกครอง พาเด็กไปปล่อย(สำหรับคนไม่มีเวลา <แต่ควบคุมเรื่องอายุด้วย เอาที่ดูแลไหว>)

แล้วจ้างพี่เลี้ยง คอยอธิบาย หรือคอยสอน

เพื่อที่ พ่อ-แม่ จะได้ไม่ต้องปล่อยให้ลูกนั่งดูแต่ทีวี อยู่ที่บ้าน

เห็นพูดกัน เก่ง ว่า เด็กคืออนาคตของชาติ แต่ก็เห็นยังวุ่นวายกันอยู่นั่น ว่าใครจะครองบ้านครองเมือง

ปล.ค่าใช้จ่ายเรื่องหนังสือ ที่ว่าให้ยืมเรียน (ตรงส่วนนี้ มันไม่ต้องเสียก็จริง อีกทั้งยังช่วยครอบครัวหลายๆครอบครัวได้ด้วย)

แต่ผมอยู่ ม.4 เมื่อไม่กี่วันนี้เพิ่งไปคืนหนังสือมา ผมก็เห็นว่า เด็กทำหนังสือหายกันเยอะแยะ ละก็ต้องซื้อใช้คืน

ผมว่า ถ้าเกิด ลองเอางบไปทุ่มกับอะไรที่มัน จะต้องเสียงบมหาศาลแล้ว ก็ควรเอาให้มันคุ้มจะดีกว่า

อันนี้เรื่อง เรียนฟรี ค่าเทอมไม่เสีย แต่เวลาโรงเรียนเรียกเก็บ ก็ไม่เก็บค่าเทอม แต่เปลี่ยนเป้น ค่าบำรุงการศึกษา แทน

ถามทุกคน ว่า ออกเงินซื้อหนังสือให้เด็ก ดีมั๊ย ให้เด็กยืมเรียน ทุกคนก็ตอบกันแต่ว่า ดี ดี ดี  ดี เพราะมันเงินรัฐ(ก็ภาษีของเราอีกนั่นแหละ)

ถามเหตุผลคนก็ตอบว่าดี ไม่มีใครตอบไม่ดีหรอก *  * เหมือนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ เห็นออกข่าวกันเยอะแยะ คนไทยก็อยากให้สร้าง

บอกว่าสร้างแล้วดีๆๆ แต่อย่ามาสร้างจังหวัดฉันนะ (พี่ชายบอกว่า ประเทศไทยบอกจะสร้างมาตั้งแต่พี่เรียน ตอนนี้ พี่ ปาไป40 ต้นๆละยังไม่ผุดซักโรง)

ปล.ถ้ายาวไปขอโทด ด้วยครับ เอิ้กๆ ได้ที่บ่นทีนึง ก็บ่นยาวเลย * *

By บลิว Date 2010-03-04 19:15:47 IP : 118.173.21.137


Opinion No. 11 (3202670)
บ่นมา ๆ ชอบ ไม่ต้องพูดถึงโรงไฟฟ้านิวเคลียร์หรอกครับ ดูสนามบินหนองงูเห่าเราดีกว่า สามสิบกว่าปีมาแล้วที่อาจารย์ได้ยินเขาพูดกัน พ่อแม่ยังมาหลอกว่าถ้าเราดื้อจะส่งไปลงหนองงูเห่าให้มันกัดตาย ฮา อาจารย์คิดว่าเรื่องนิวเคลียร์เราจดจำประสบการณ์ไม่ดีมาจากสงครามโลกเยอะ แล้วเราอยู่ใกล้ด้วย มันก็เลยสะเทือนจิตใจมาก อาจารย์ว่ารัฐบาลน่าจะหาทางเรียกโรงไฟฟ้าใหม่ ว่าเป็นนิวเคลียร์ขาว หรืออะไรก็ได้ที่ฟังแล้วรื่นหูกว่านิวเคลียร์เฉย ๆ คนจะได้ไม่กลัว จริงอยู่ว่าการตั้งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ไม่ใช่เรื่องง่าย ขนาดฝรั่งเศสยังหกล้มขาแพลงมาแล้วกับโรงงานฟีนิกส์มั้ง ถ้าจำไม่ผิด แล้วยังมีเชอร์โนบิลมาตอกย้ำแรง ๆ อีก คนก็เลยหวั่น ซึ่งก็ควรจะหวั่นละครับ ตราบใดที่คนไทยยังเป็นแบบ "อะไรก็ได้" หรือ "ไม่เป็นไรหรอก" เพราะถ้ามีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แล้วคิดกันแบบนี้ อ. ต้นก็ไม่เอาเหมือนกันละครับ คอยดูนะครับ เรื่องนี้จะเป็นวาระทางปัญญาของคนไทยที่สำคัญในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ถ้าจะให้คนเข้าใจ ต้องเร่งประชาสัมพันธ์มากกว่านี้อีก 100 เท่า
By อาจารย์ต้น Date 2010-03-04 20:23:08 IP : 115.87.72.43


Opinion No. 12 (3202682)

เซอโนบิล ที่ผมอ่านมาตอนทำบทเรียนสำเร็จรูปเรื่องนิวเคลียร์

เห็นเค้าว่าเกิดจากการทำงานของนักวิทยาศาสตร์ ที่ไปทดลองแล้วปิดระบบป้องกันการเกิดเหตุฉุกเฉิน จนมันตู้ม

 แต่คนก็พูด ต่อๆกันไปทั่วโลก ว่ามันระเบิดๆๆๆๆ(ไม่มีใครหาเหตุผลที่แท้จริงเลย)

ก็เลยเกิดการอุปทานหมู่ เหมือนกับการที่ว่า กินสารบำรุง เช่นพวก อะไรๆ ที่เขาโฆษณากัน แล้วจะฉลาดขึ้น

แต่ถ้าไม่ทำอะไร มันก็ยังเป็นเช่นเดิม บางที ยาชนิดนั้นอาจไม่ต่างจาก น้ำเปล่าเลยก็ได้ * * แต่เราอุปทานไปเอง

เคยดื่ม pepทีน (ไม่เอ่ยชื่อ แต่เอ่ย แบบนี้ จะโดนฟ้องมั๊ยเนี่ย) เพื่อนให้ลอง เอิ้ก รสชาติ เหมือนกับM max  ที่เป็นยาชูกำลัง (ที่เพื่อนก็ให้ลองอีกเช่นกัน)

ปล.คนไทยชอบอุปทานไปเอง เอิ้กๆๆ

ลองเข้าลิฟที่มีคนเต็มแล้วทำเป็นว่ากดลงไปชั้น 1 แล้วตอนอยู่ในลิฟท์ ลองแกล้งทำคุยโทรศัพท์ว่า  ระเบิดที่ให้วางเรียบร้อยแล้ว (อิอิ อันนี้อ่านมา ฮาดี มีหลายอย่าง)

ปล.2มันชักออกทะเลไงไม่รู้  กลับเข้าประเด็น เรื่องคนไทย อ่านหนังสือน้อย ณ บัด now

By บลิว Date 2010-03-04 21:06:55 IP : 118.173.21.137


Opinion No. 13 (3202709)
ออกไปไกลระวัง ลมแรงนะจะบอกให้ ตอนนี้อาจารย์ต้นก็อุปทานหมู่ว่าเขาจะเอาตังค์ที่ยึดได้มาแจก ฮา
By อาจารย์ต้น Date 2010-03-04 23:02:01 IP : 115.87.72.43


Opinion No. 14 (3202713)
ฮิฮิเป็นคำถามต่อ"ตังนั้นไปไหน*-*เอามาบริหารประเทศคงงดเก็บภาษีได้ซักเดือนฮิฮิ"
By บลิว Date 2010-03-04 23:10:18 IP : 118.173.21.137


Opinion No. 15 (3349660)
สองสามวันก่อนมีคนบอกว่า กรุงเทพจัดเทศกาลอ่านหนังสือเพิ่มประจานตน อิๆๆๆๆๆ
By เพลง Date 2012-12-02 19:16:12 IP : 180.183.190.143


Opinion No. 16 (3349684)
ก้าก เหมือนกรุงเทพเมืองแฟชั่นเมื่อหลายปีก่อน ทำไปด้าย ร้อนจะตายจะเปลี่ยนเสื้อผ้าอะไรกันนักหนา ใส่ได้เกินสามชิ้นก็เก่งแล้ว ทำอะไรไม่ค่อยดูต้นทุนตัวเอง แต่เรื่องอ่านหนังสือนี่มันต้องเป็นวาระแห่งชาติครับ รณรงค์กันทุกวัน สนับสนุนการพิมพ์หนังสือเพื่อให้หนังสือราคาถูกลง และจะได้มีหน้งสือออกสู่ตลาดมากขึ้น ใครๆก็บอกหนังสือสร้างชาติ แต่ไม่รู้เ้ข้าหูรัฐบาลแค่ไหน อยากสะกิดถามเหมือนกันว่า คนในรัฐบาลอ่านหน้งสือเดือนละกี่เล่ม ฮิ้ว
By อาจารย์ต้น Date 2012-12-02 22:09:17 IP : 124.120.45.110



[1]


Opinion
Opinion *
By  *
E-Mail 
Don't Display E-mail



Copyright © 2010 All Rights Reserved.